Love Top Book

Chapter3

Chapter3

เหตุการณ์วันนั้นจบลงที่มายด์หลับไป ตื่นมาอีกทีภากรณ์ก็ไม่อยู่แล้ว มีเพียงมิ้นท์นั่งหน้าสวยเฝ้าอยู่ข้างเตียง มายด์ทำหน้างงไม่คิดว่าเจ้านายสาวจะมาเฝ้าเด็กลูกน้องอย่างเธอ ทั้งสองอึกอักใส่กันพักหนึ่ง คงเป็นเพราะมิ้นท์อายุมากกว่าจึงเข้าหาคนเก่งกว่า มายด์ถูกชวนคุยนี่นั่นไปเรื่อยๆ ไม่นานก็รู้สึกสบายใจขึ้นและกลายเป็นไว้วางใจในที่สุด

มิ้นท์เดินไปส่งมายด์ พลางช่วยอธิบายว่าทำไมหายไปนานสองนาน แม่หญิงพยักหน้ารับฟังจะมีผิดสังเกตอยู่บ้างก็ตอนที่มายด์เอาแต่ก้มหน้าก้มตาไม่โต้เถียง คนเป็นแม่ดูอาการลูกออกอยู่แล้วจึงพาเดินไปส่งห้อง

"ไหนเล่ามาซิ หายหัวไปไหนมา" แม่หญิงถามซ้ำอีกรอบ

"โห่แม่! ก็อย่างที่คุณมิ้นท์เล่านั่นแหล่ะ" มายด์ซ้อนสีหน้า ทำเป็นหยิบโน้นหยิบนี่คล้ายจะออกไปอาบน้ำ

"แน่ใจนะว่าอยู่ช่วยงานคุณมิ้นท์ตลอด ดูหน้าดูตาเราซิ แดงเถือกขนาดนี้ เจ็บป่วยตรงไหนรีบบอกแม่เลยนะลูก" แม่หญิงจับตัวมายด์ให้หันมาคุยกันดีๆ ทันเห็นริ้วแก้มแดงกรำลามลงไปถึงลำคอเห่อร้อนเหมือนคนป่วย พอถูกถามด้วยความเป็นห่วงมายด์ก็แกล้งกระเซ้ากอด แล้วปลีกตัวไปทางห้องน่ำ

"เดี๋ยวมายด์! ทำอะไรอยู่รู้ตัวใช่ไหม"

เสียงเอ่ยถามของคนเป็นแม่ไม่ได้คาดครั้นหรือหวาดระแวง เพียงแค่ลังเลเท่านั้น คงเป็นเพราะสัญชาตญาณและความรักบริสุทธิ์ของแม่กล่อมเกลี้ยงเลี้ยงลูกมาแต่น้อยจึงรู้ทันลูกสาวทุกอย่าง จริตแบบนี้ไม่ต่างจากหญิงสาวกำลังมีความรัก หากแต่ผู้ชายคนนั้นไม่คู่ควรกับเราเลย

"แม่ไม่ต้องห่วงหรอก หนูไม่ได้คิดอะไร"


หลายวันต่อมา

มนุษย์บ้างานอย่างมิ้นท์ต่อให้มีแฟนหล่อรวยแค่ไหนก็ยังขยันทำงานทุกวัน จากเด็กใหม่ถูกจิกหัวใช้ทำโน้นทำนี่เกินหน้าที่ เดี๋ยวนี้อัพเกรดขึ้นมากลายเป็นว่าใครๆ ก็เกรงใจ เห็นจะมีแค่พี่นวลฉวีนี่แหล่ะที่ยังกล้าใช้งานเธอ

"นี่มิ้นท์ กลางวันนี้ท่านมารับเธอหรือเปล่า"

"เปล่าค่ะ พี่มีอะไรไหม"

"ไม่จ๊ะ ฉันว่าจะชวนเธอไปกินข้าวสักหน่อย มีเรื่องอยากปรึกษาน่ะ"

ปกติพี่ฉวีกับมิ้นท์ก็ไปกินข้าวด้วยกันบ่อยไม่เห็นต้องถามเลย มิ้นท์ที่ผ่านอะไรมามากเริ่มผิดสังเกต ท่าทางร้อนรนของนวลฉวียิ่งมั่นใจว่าน่าจะมีเรื่องสำคัญ แล้วมื้อกลางวันก็มาถึง ร้านกาแฟเล็กๆ ที่ประดับประดาไปด้วยเค้กสวยน่ากินหลายอย่าง ทั้งสองเลือกมุมลับตาคนสั่งขนมเครื่องดื่มมาพร้อม รอไม่นานความสวยหวานก็จัดวางเต็มโต๊ะ

"กินกันไป คุยกันไปนะ ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรหรอก" พี่ฉวีพูดขึ้นก่อน มิ้นท์ยังนิ่งเพราะรู้สึกว่าประโยคนี้ดูเป็นทางการจนเธอเริ่มไม่กล้ากินแล้ว ติดที่ว่าช็อคโกแลตเยิ้มๆ นั่นยั่วยวนจนต้องตักชิมสักหน่อย

"ค่ะ มิ้นท์ไม่เกรงใจแล้วนะคะ" มิ้นท์ตักเค้กกินอย่างอารมณ์ดี เค้กสามเหลี่ยมชิ้นโตตักไม่กี่คำก็หายวับไปกับตา ใบหน้าสวยเคี้ยวตุ้ยๆ อย่างเอร็ดอร่อย นวลฉวีมองอย่างเอ็นดูจนไม่กล้าพูดขัด

"งั้นกินก่อนก็ได้ เดี๋ยวพี่ค่อยเล่า"

"โอ๊ยพี่! ขนาดนี้แล้ว ดูท่าทางพี่หนูก็รู้ว่าเรื่องสำคัญ"

ไม่เพียงแค่นวลฉวีที่เฝ้าระวังภัยให้มิ้นท์แต่คนเป็นลูกน้องอย่างมิ้นท์เองก็หวังดีกับรุ่นพี่สาวเสมอ เธอไม่เคยโกรธแค้นเรื่องในอดีตมีแต่จะยินดีด้วยถ้าพี่ฉวีจะมีความสุข ยิ่งเดี๋ยวนี้เห็นมีหนุ่มใหญ่หล่อล่ำตามรับตามส่งก็ยิ่งดีใจด้วย แต่อีกใจก็นึกแปลกเพราะรถคันนั้นคุ้นตาเหลือเกิน

"พูดมาเลยพี่ หนูพร้อมล่ะ" มิ้นท์เข้าเรื่อง

"คือ พี่จะถามว่าเราพอจะมีอู่ไหนที่ไว้ใจได้ไหม พี่อยากจะเอารถเข้าซ่อมสักหน่อย" พี่ฉวีพูดเนิบๆ มิ้นท์ยิ้มรับฟังแล้วก็เรื่องธรรมดา ไม่เห็นต้องพิธีการขนาด นี้เลย

มิ้นท์แอบถอนหายใจโล่ง ตอนแรกก็นึกว่าเรื่องอะไร ถ้าเรื่องแค่นี้อะนะสบายมาก อย่าลืมซิว่าเธอรู้จักนายช่างใหญ่อย่างภากรณ์ทั้งคน

"มิ้นท์ก็รู้จักอยู่อู่หนึ่งนะ พี่จะเอารถเข้าวันไหนล่ะ"

"วันนี้เลย"

"ห้ะ! รีบหรอคะ"

"ก็ประมาณนั้นจ๊ะ"

มิ้นท์สังเกตสีหน้ายิ้มกริ่มของนวลฉวีดูมีอะไรอีกแล้ว ถึงวันๆ จะเอาแต่ทำงานไม่ได้สนใจเรื่องคนอื่นแต่ก็พอรู้มาว่าแฟนพี่ฉวีเปลี่ยนรถมารับมาส่งแทบทุกวัน ถ้าไม่บอกว่าเป็นเสี่ยสวนยางนะต้องคิดว่าเป็นเจ้าของเต้นท์รถแน่ กับแค่ซ่อมรถคันหนึ่งทำไมต้องมาถามเธอด้วย

ความสงสัยถูกกลบทับด้วยรอยยิ้ม มิ้นท์แบ่งรับแบ่งสู้ อ้างไปว่าขอถามที่อู่ก่อนเพราะเป็นแค่อู่เล็กๆ ชานเมือง กลัวว่าขับรถไปแล้วรถจะเต็มไม่มีที่จอดซ่อมเสียเปล่าๆ นวลฉวีเข้าใจเหตุผลแต่ก็แอบกดดันว่าต้องพึ่งพามิ้นท์จริงๆ

มิ้นท์เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้วาเลนซ์แฟนหนุ่มฟัง ซึ่งแน่นอนว่าไม่ถึงชั่วโมงเรื่องนี้ก็ถึงหูภากรณ์ คนอย่างภากรณ์ไม่เคยกลัวใครอยู่แล้วจึงตกปากรับคำให้มิ้นท์นัดเอารถเข้ามาซ่อมได้

"มิ้นท์ ผมถามไอ้กรณ์ให้แล้ว มันบอกให้รุ่นพี่คุณเอารถไปเข้าซ่อมตามโลเกชั่นนะ"

"ค่ะ แต่นั่นไม่ใช่อู่คุณกรณ์นี่ค่ะ"

"ช่วงนี้รถเต็มน่ะ เห็นมันว่าจะเปิดโกดังใหม่"

"อ่อ! โอเคค่ะ เข้าใจแล้ว"


Pakron's Part

ในชีวิตคนเราจะเจอเรื่องประหลาดได้แค่ไหน ผมคนหนึ่งล่ะที่กำลังเจอความแปลก ถ้าคุณรู้เรื่องตั้งแต่ต้น (ภาคแรก ตามอ่านได้ที่ Destiny Love Road ลิขิตรักสุดดวงใจ) คุณคงรู้ว่าผมรู้สึกยังไงกับมิโกะ ตอนนั้นมิโกะเป็นเพียงวิญญาณหญิงสาวที่มีบ่วงกรรมผูกติดกับรถต้นเหตุฆาตกรรม ผมมีความปรารถนาดีให้เธออย่างจริงใจ ทำทุกอย่างเพระหวังให้เธอได้ไปเกิดในภพภูมิที่ดี แล้วทำไมเธอไม่ไปเกิดกลับมาอยู่ในร่างของลูกสาวคนงานได้

ผมพยายามบอกตัวเองว่าก็แค่คนหน้าเหมือน มิโกะไม่มีทางกลับมาเกิดเป็นสาวน้อยวัย 18ปีได้ มันผิดธรรมเนียมเวียนวายตายเกิดป่ะ ผมเข้าใจผิดไปเองหรอหรือนี่แหล่ะคือพรหมลิขิต

ผมทำได้เพียงมองมายด์อยู่ห่างๆ ขืนใกล้ไปกว่านี้ไอ้สองกับหญิง พ่อแม่น้องจะกินหัวผมเปล่าๆ นอกจากจะหน้าตาเหมือนกันแล้ว ความแสบก็ไม่ต่างกันเลย ช่างต่อปากต่อคำแถมหมายหัวผมเป็นอิตาลุงโรคจิตแล้วด้วย

ช่วงแรกที่ต้องมาร่วมชายคาเดียวกันผมกังวลใจมาก ทำตัวไม่ถูกเพราะกลัวเผลอทำอะไรลงไป เพิ่งจะคลายความเกร็งได้พักเดียวมีเรื่องใหม่ให้เครียดอีกแล้ว

เหตุการณ์วันนั้นจบลงที่ผมกระตุกตัวเสร็จปล่อยน้ำรักให้มายด์ได้กลืนลงคอ ผมยังสูดหายใจไม่ทั่วท้องเลย หันมามองอีกทีก็เห้นมาสลบกองลงพื้นไปแล้ว นึกสภาพผมซิครับ! สวรรค์รำไรที่ปล่อยแสงขาวโพลนมาให้รู้สึกโล่งวับเดียวกลายเป็นภาพสั่นๆ โทรทัศน์ปิดสถานีกลายเป็นความสับสนอีกแล้ว บางส่วนพุ่งชี้สวนทางกลับหัวใจร้อนรนของผมเหลือเกิน เสียงเคาะประตูโครมๆ เร่งให้ยิ่งเสียสมาธิ นี่ผมควรทำอะไรก่อนครับ อุ้มเธอไปนอนบนเตียงก่อน เปิดประตูก่อน หรือรอให้ไอ้ลูกชายหลับก่อนดี

เหตุวุ่นๆ จบลงที่ผมยอมอายครับ อุ้มมายด์มานอนลงเตียง เกลี่ยนิ้วเช็ดริมฝีปากเธอก่อนจะย้ายร่างไปเปิดประตู ทั้งทีที่ไอ้วาเห็นสภาพผมมันก็ชี้หน้าล้อ จะไม่ให้แซวได้ไงก็ชุดคลุมที่สวมอยู่ยังปิดส่วนยื่นยาวไม่มิดเลย

"ห่านี่! กูไม่ได้ทำอะไรน้องเขาเว้ย" ผมออกตัวเถียง

"หรอครับบ.. ก็ว่าไม่นะ ดูลูกชายมึงดิร้องหาแม่ๆ แม่๗่ามาหาหนูหน่อยแล้ว"

"ไอ้สัส กูไม่ได้ทำอะไรเลย"

"ไม่ได้ทำแล้วทำไมน้องเขาเป็นงี้วะ"

"ไม่รู้วะ เอาไงดีล่ะต้องไปโรงพยาบาลไหม"

"ห่า! ไปสภาพนี้พ่อแม่น้องได้แตกตื่นกันหมด รอดูอาการสักพักเหอะ เดี๋ยวกูให้มิ้นท์มาอยู่เป็นเพื่อน"

"เออๆ ก็ดีเหมือนกัน"

ผมกับไอ้วาที อ่อไม่ซิ! ตอนนี้มันชื่อวาเลนซ์แล้ว เราสองคนสนิทกันมากเรียกว่ามองตาก็รู้ใจ อะไรที่มันต้องการถ้าผมทำได้ผมจะรีบทำทันที ในขณะที่มันเองก็เหมือนกัน อยู่ช่วยเหลือกันมาตั้งแต่เด็กสนิทกันปานพี่น้องคลานตามกันมา ทั้งที่ไลฟ์สไตล์ไม่ใกล้เคียงกันเลยสักนิด


'กริ๊งงงงง!!!'

"ฮธโหล่ มีอะไร" เบอร์วาเลนซ์โทรเข้ามาหลายสาย ผมที่เร่งมือซ่อมรถเฮียหวังที่จี้ยิกๆ จะให้เสร็จทันใจให้ได้ โทรมาจนรำคาญสุดท้ายผมก็กดรับสาย ก็ได้พูดแค่นั้นแหล่ะครับนอกนั้นมันก็พูดๆๆ คนเดียวจนจบ

"ได้ซิมึง แต่ไปอู่ใหม่กูนะ ไม่ต้องมาที่บ้าน"

"ทำไมวะ"

"ถามมากวะ จะซ่อมไม่ซ่อม"

"พูดกับเพื่อนดีๆ หน่อยซิครับ หรือจะเก็บเสียงหล่อๆ ไว้คุยกับน้องคนนั้นคนเดียว"

"ตลกล่ะมึง"

"เออ! กูไม่กวนแล้ว มึงทำงานไปเหอะ"

"เดี๋ยว! เสียงกูหล่อจริงหรอวะ"

ทั้งที่มันจะวางสายแล้ว นึกไงไม่รู้อยู่ๆ ผมก็ถามขึ้น ไอ้วาไม่ตอบกลับหัวเราะร่วนชอบใจ ผมรอฟังคำตอบพักหนึ่งเหมือนถือสายให้มันเยาะเย้ยจนพอใจก่อนจะกดวางไปเอง 'เฮ้อ! ไม่เป็นตัวเองเลยกู ทุกอย่างดูแปลกไปหมด'

"เฮียกินข้าวก่อนครับ" เสียงสองตะโกนเรียก ผมผละมือจากเครื่องยนต์ตรงหน้าล้างไม้ล้างมือแล้วไปร่วมวงด้วย

"มายด์ตักข้าวให้เฮียซิ" สองจัดแจงสั่ง ผมได้แต่ยืนเกกังจนมายด์ตักข้าวเสร็จก็ยังหามุมลงนั่งไม่ได้

"นั่งซิเฮีย ยืนมาทั้งวันไม่เมื่อยหรอ" มายด์ขยับออกเปิดทางให้ผมลงนั่งข้างเธอ '!!!' ใจเต้นตึกตักสบตาเธอนิดหนึ่งยังไม่นั่งทันที จนไอ้สองเร่งเอ่ยปากเร่งด้วยความหิวโหย

"มาเฮีย ผมหิวจนมือสั่นไปหมดแล้ว"

"เออๆ กินกันเลย น่ากินทั้งนั้นเลยวะ" ผมเปลี่ยนเรื่องไปพูดชมอาหารตรงหน้า ถือโอกาสลอบมองสีหน้าคนอื่นด้วย เห็นทุกคนยิ้มแย้มเป็นปกติก็เริ่มไม่เกร็ง

"คอหมูยางเฮีย เมียผมทำสุดฝีมือเลยนะ" สองคะยั้นคะยอต่อ ผมตักกินตามมันบอกเพราะหมูย่างมันนุ่มๆ เป็นขอโปรดผมอยู่แล้ว เคี้ยวง่ำๆ กลืนลงคอปุ๊บก็ต้องออกปากชมฝีมือแม่ครัวสักหน่อย

"อร่อยมากเลยหญิง เฮียว่าอย่างนี้เปิดร้านขายหน้าอู่ได้เลยนะ เอาไหมเด๊๋ยวเฮียทำร้านให้" ผมชมไปเคี้ยวไป ส่งยิ้มหวานให้หญิงเมียไอ้สอง เธอยิ้มรับก่อนจะตอบมาว่า

"วันนี้หญิงไม่ได้ทำค่ะ ให้มายด์มันทำ" ฟังอย่างนั้นหน้าก็หน้าชาวาบ มายด์ที่นั่งอยู่ข้างหลุดเสียงหัวเราะชอบใจ ผมรู้ว่าเธอกำลังแซวจะให้กลับลำตอนนี้ก็ไม่ได้แล้วด้วย

"อร่อยขนาดนั้นเลยหรอเฮีย ขนาดหนูทำมั่วๆ นะเนี่ย" มายด์พูดแซว

"อืมม... ก็พอกินได้" ผมตอบหน้านิ่ง พยายามแสร้งว่าปกติที่สุดทั้งที่ในใจวูบไหวอยู่มาก

"แค่พอได้เองหรอเฮีย เห็นกินไม่วางช้อนเลยน่าา" คราวนี้ไม่ใช่มายด์พูด แต่เป็นไอ้สองพูดแซวเป็นปี่เป็นขลุ่ยกับลูกน้องคนอื่นๆ

"แคร๊กๆๆ" ผมสำลักไอ้หน้าดำหน้าแดง แก้วน้ำถูกยื่นมาตรงหน้า ยกกระดกน้ำแก้ติดคอ

"โห่เฮีย! นี่แกล้งชมว่าอร่อยหรือเปล่า" สองยังไม่หุบปาก ทั้งยังแกล้งสลับจานส้มตำมาแทนที่คอหมูยางด้วย ผมจะเถียงก็ระคายคออยู่จึงเพียงยิ้มเก้อๆ ตักส้มตำเข้าปาก

"ไม่อร่อยหรอคะ" เสียงเด็กสาวตอนนี้กระด้างจนข้าวเหนียวแทบติดคอ ผมหันควับยกยิ้มส่ายหน้าให้ มายด์ยังบึ้งตึงเม้มปากน้อยไม่พอใจ

"ไม่ใช่ อร่อยมาก อร่อย... จริงๆ นะ" ผมตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน โฟกัสสายตาที่ใบหน้ามายด์ เธอเหมือนมิโกะจริงๆ เหมือนมากไม่ว่าจะเป็นดวงตา สันจมูกสวย ริมฝีปากจิ้มลิ้มสีหวาน ผมพยายามไม่สบตาเธอเพราะกลัวเผลอแบบนี้แหล่ะ

สบตาสองสามวินาทีผมก็รู้สึกตัวว่ามันเงียบเกินไป เลื่อนสายตาจากมายด์ไปมองคนอื่นบ้างจึงได้รู้ว่าทุกคนนั่งนิ่งกันไปหมด

"เฮ้ย! เป็นอะไรกันวะ"

"เปล่าๆ เฮีย ผมเพิ่งรู้ว่าเฮียพูดเสียงหล่อกับเขาได้ด้วยนะ"

"ไอ้ห่านี่ กูไปพูดแบบนั้นตอนไหน"

"เอ่อๆ ช่างเถอะเฮีย ผมว่ากินกันดีกว่า"



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น