Love Top Book

Chapter4

 Chapter4

เช้าวันเสาร์ทีวาเลนซ์กับมิ้นท์ยังหลับไหลอยู่บนห้อง ภากรณ์ลงมาเตรียมอุปกรณ์ซ่อมรถแต่เช้าตรู่ เขาเข้าใจดีว่ามนุษย์เงินเดือนอย่างสองคนนั่นนอนดึกตื่นสายเป็นเรื่องธรรมดา แต่ที่ไม่เข้าใจคือทำไมไม่กลับไปนอนบ้านมาสิงสู่อยู่นี่จนจะยึดห้องเขาอยู่แล้ว

"เฮีย ตื่นเช้าจังนะครับ" สองกับหญิงขับรถกลับมาจากตลาดพอดี เห็นเฮียจัดของใส่รถกระบะอย่างขมักเขม้นก็แปลกใจ

"กูก็ไม่ได้อยากตื่นหรอก งานด่วนวะ" ภากรณ์ตอบด้วยท่าทีเหนื่อยอ่อน

"หืม.. งานอะไรเฮีย ซ่อมรถหรอ ทำไมไม่เอามาทำที่นี่ล่ะ" สองรีบมาช่วยจับนั่นยกนี่แล้วก็ถามด้วยความแปลกใจ ในสายตาสองภากรณ์คือฮีโร่ของเขา คือคนมีพระคุณที่เขาอยากติดตามอยู่ใกล้ พอเห็นสภาพภากรณ์เหนื่อยเพลียขนาดนี้แต่ยังยอมแบกเครื่องมือไปซ่อมรถคนอื่นอีกก็อดถามไม่ได้

"ลูกค้าใหม่วะ" ภากรณ์ตอบส่งๆ

"เอามาซ่อมที่นี่ซิ ได้ช่วยกันเดี๋ยวก็เสร็จ" สองเสนอความคิดเห็น

"เฮียว่าเคสนี้แปลกๆ ระวังไว้ก่อนดีกว่า ช่วงนี้เฮียได้ข่าวไม่ค่อยดีมา" ภากรณ์ตัดสินใจเล่าให้สองฟัง

สำหรับคนอื่นนี่ก็แค่อู่ซ่อมรถธรรมดาๆ แต่สำหรับภากรณ์เขาคิดเสมอว่านี่คือธุรกิจสีเทาอย่างหนึ่ง เป็นแหล่งรวมอุบัติเหตุ ความเสียหายและข้อเท็จจริง เคสรถมีปัญหาอย่างของวาเลนซ์มีมาเรื่อย บ้างก็เป็นฝ่ายถูก บ้างก็เป็นฝ่ายผิดที่อยากทำให้ตัวเองถูก เพราะเขารู้ดีว่าอะไรเป็นอะไรจึงอยากป้องกันไว้ก่อน

พื้นฐานของภากรณ์เป็นคนเพื่อนน้อยไม่สุงสิงกับใคร ตั้งแต่สูญเสียพ่อแม่จากอุบัติเหตุเขาก็โดดเดียวมาตลอด เพิ่งเปิดใจยอมรับว่าตัวเองก็มีครอบครัวอย่างคนอื่นเขาก็เพราะไอ้พวกลูกน้องนี่แหล่ะ ความรู้สึกหวงแหนครอบครัวนี้เข้ามาตอนไหนไม่รู้ รู้แค่เขาอยากรักษาไว้ให้ดีที่สุด

"งั้นขอผมไปด้วยนะเฮีย" สองร้องขอ

"อย่าดีกว่า เฮียจะฝากสองดูแลที่นี่ด้วย" ภากรณ์รีบบอกปัด เพราะเขาหวังเพิ่งสองให้อยู่ดูแลทางนี้ ขืนไปกันหมดพลอยจะไม่ได้งานเสียเปล่าๆ

"แล้วใครจะดูแลเฮียที่โน้นล่ะ"

"ห่านี่! กูโตแล้วไหม"

"ไม่เกี่ยวหรอกเฮีย จะอายุเท่าไรแต่เฮียก็นิสัยเหมือนเดิม พอตั้งใจทำอะไรลืมทุกอย่างหมด ไม่หลับไม่นอน ข้าวปลาก็ไม่กิน"

ภากรณ์สัมผัสถึงความห่วงใยในน้ำเสียงนั้น เขาเพียงยิ้มกวนๆ ปล่อยให้สองพูดร่ายยาว สีหน้าสองดูหวาดหวันเกินกว่าจะแค่เป็นห่วง ภากรณ์นึกสงสัยว่าเผลอทำอะไรให้สองไม่พอใจหรือเปล่า

"เดี๋ยวนะ! เฮียไปทำอย่างนั้นตอนไหน" ภากรณ์ทิ้งตัวลงนั่งกระบะหลังที่เปิดอยู่ วางของในมือเปลี่ยนสองแขนมากอดอก จดจ้องใบหน้าสองราวรอฟังคำตอบ

"ก็ตอนนั้นไง" สองเกริ่นด้วยดวงตาสั่นคลอน

"ตอนนั้นน่ะ ตอนไหน อยากพูดอะไรก็พูดมาเถอะ" ภากรณ์คะยั้นคะยอให้สองพูด แววตาอ่อนโยนลงช่วยให้สองผ่อนคลายจนกล้าเล่าออกมา

"ก็ตอนที่คุณมิโกะจากไป เฮียเอาแต่ทำงานไม่สนใจพวกผมเลย ผมรู้ว่าเฮียสูญเสียคนรัก แต่พวกผมก็รักเฮียเหมือนกันไง เฮียเครียด ผมก็เครียดที่ต้องเห็นเฮียใช้ชีวิตให้ผ่านไปวันๆ เฮียรู้ไหมหัวใจลูกน้องรู้สึกยังไง สำหรับเฮียก็แค่ยอมรับการสูญเสียแต่พวกผมนี่ซิ! ต้องอยู่กับความหวาดกลัวว่าจะสูญเสียเฮียไปวันไหน"

สองเรียกชื่อมิโกะคล้องปากจนภากรณ์นึกสงสัย เรื่องเล่าที่เจือไว้ทั้งความรักและความเศร้าทำเอาภากรณ์น้ำตาซึม เขายอมรับว่าตัวเองคลุ้มคลั่งทำตัวบ้าๆ บอๆ ไปมาก เพิ่งรู้รสคนอกหักครั้งแรกมันก็เจ็บมากหน่อย ไม่ได้คิดว่าความทุกข์ทรมานนั้นจะทำร้ายคนอื่นด้วย

"เฮียขอโทษนะสอง เฮียจะไม่ทำตัวอย่างงั้นอีก เฮียสัญญา" ภากรณ์ตอบด้วน้ำเสียงอ่อนโยน สองพยักหน้ารับ เบื้อนหน้าไปทางอื่น กระพรือขนตากลั้นน้ำตาไว้ ภากรณ์เดินเข้าไปตบไหล่สองทีหนึ่งก่อนจะชวนคุยต่อ

"ไม่ต้องห่วงนะ เฮียไม่อกหักอีกแล้ว" ไม่มีใครไม่เคยผิดพลาด ภากรณ์ที่คิดเสมอว่าเขาไม่เคยได้อะไรดังใจตอนนั้นย่อมจมดิ่งเป็นธรรมดา ใครจะรู้ล่ะว่าวันหนึ่งเธอคนนั้นจะกลับมาอีก

"ก็ใช่ซิเฮีย เรื่องมาขนาดนี้แล้วนี่" สองพูดเหมือนรู้ทัน

"หืมม.. ทำเป็นรู้ดี เอ่อ! ว่าแต่เอ็งรู้..." ภากรณ์หรี่ตาสงสัยฉุดคิดว่าสองรู้เรื่องอะไรบ้าง หาจังหวะจะถามแต่ยังไม่ทันได้ถามเสียงของตกก็ดังขัดขึ้นซะก่อน

"มายด์! มาทำอะไรตรงนี้ลูก"

มายด์ยืนอึ้งไม่ไกลจากสองหนุ่มนัก เธอได้ยินทุกอย่าง ทั้งความรู้สึกของพ่อและเรื่องในอดีตที่ภากรณ์เคยอกหัก หัวใจเด็กสาวชาวาบเธอไม่รู้หรอกว่าเกิดขึ้นเพราะอะไร รู้แค่ดวงตาหนักอึ้ง ทำได้แค่ก้มต่ำไม่กล้าสบตา

"... หนูก็จะมาตามพ่อนี่แหล่ะ" มายด์เงียบ คิดว่าจะตอบยังไงดี ความจริงแล้วเธอเฝ้ามองภากรณ์จากห้องพักชั้นบน เห็นพ่อเข้ามาก็กะจะลงมาร่วมวงด้วย ภากรณ์สัมผัสความอึกอักสองพ่อลูกได้ จึงปลีกตัวไปทำอย่างอื่น

"เฮีย หนูขอไปด้วยได้ไหมคะ ตั้งแต่มาอยู่นี่หนูยังไม่ได้ไปเที่ยวไหนเลย" มายด์ร้องขอขัดการปลีกตัวของภากรณ์ แทนที่เขาจะตอบกลับสบตาสองราวขออนุญาต สองที่รู้เรื่องทุกอย่างดีตั้งแต่ต้นก็ไม่คิดจะห้าม

"ก็ดีนะเฮีย สงสารมายด์มันเถอะ ผมเองก็ไม่ได้พามันไปเที่ยวไหน"

เมื่อสองเปิดทางให้ขนาดนี้มีหรอภากรณ์จะปฏิเสธ ดีเสียอีกถ้ามายด์ไปด้วยก็ได้อยู่คุยเล่นเป็นเพื่อนมิ้นท์ ส่วนวาเลนซ์จะได้ช่วยเป็นลูกมือซ่อมรถเต็มที่ คิดได้อย่างนั้นภากรณ์ก็พยักหน้าอนุญาต เขาจัดแจงให้มายด์นั่งรถไปกับวาเลนซ์และมิ้นท์ ส่วนตัวเองจะขับรถขนเครื่องมือไป อาบน้ำกินข้าวกินปลาเสร็จ ช่วงสายๆ ทั้งสี่ก็ออกเดินทางกัน

มายด์มองข้างทางอย่างตื่นตาตื่นใจไปกับความศิวิไลย์ในเมืองหลวง ตึกสูงระฟ้าช่างห่างไกลจากชานเมืองเหลือเกิน แม้สายตาเธอจะมองอย่างหลงใหลแต่ลึกๆ ก็ชอบที่เก่ามากกว่า วาเลนซ์ทำหน้าที่ขับรถเคียงข้างด้วยมิ้นท์แฟนสาว เขาลอบมองกระจกส่องหลังเป็นพักๆ เห็นสีหน้ามายด์มีความสุขก็เอ่ยปากถาม

"ไงมายด์ ชอบไหม"

"ชอบค่ะ อู่เฮียกรณ์อยู่แถวนี้เลยหรอคะ"

"ใช่ เห็นอย่างงี้ไอ้กรณ์มันรวยมากนะ เศรษฐีติดดินน่ะ มายด์รู้จักไหม"

มายด์ไม่มีคำตอบเพียงยิ้มนิดๆ ที่เธอถามไม่ใช่เพราะสนใจเรื่องความจนหรือรวย เพียงแต่คิดว่าภากรณ์ไม่เหมาะกับสังคมหรูหราแบบนี้เลย เขาเหมาะกับกลิ่นดินกลิ่นธรรมชาติ ต้นไม้ ใบหญ้าสีเขียวแต่ ชถ้าเป็นคุณวาเลนซ์ดูจะเหมาะกว่า เขาดูเป็นคนเจ้ายศเจ้าอย่าง มากพิธีรีตองเกินกว่าจะทำตัวง่ายๆ สบายๆ ด้วยได้

"มายด์ แวะซื้อขนมกันก่อนไหม เผื่อเข้าไปไม่มีอะไรกิน" มิ้นท์พยายามตีสนิทมายด์ ทุกครั้งที่มองหน้าเด็กสาวเธอเหมือนได้เพื่อนเก่าคืนมาเสมอ จึงไม่แปลกที่จะเพื่อนทำตัวสนิทเกินไปบ้าง ชวนคุยเล่นแบบรุ่นเดียวกันบ้าง

"ตามใจคุณมิ้นท์ค่ะ หนูยังไงก็ได้" มายด์ตอบตามมารยาท ตกลงกันได้เสร็จรถสองคันที่ขับตามกันมาติดๆ ก็เลี้ยวเข้าปั๊มน้ำมันทันที

ลงจากรถได้มายด์ก็เดินตรงไปหาภากรณ์ เขาย่นคิ้วสงสัยเพราะไม่เคยเห็นเด็กสาวจะตามติดเขาขนาดนี้มาก่อน

"ตามฉันต้อยๆ มีอะไรหรือเปล่าห้ะ!" ภากรณ์ถามอย่างเอ็นดู

"เฮีย หนูขอย้ายมานั่งรถเฮียได้ไหมคะ"

"อ้าวทำไมล่ะ ไม่ชอบหรอได้นั่งรถหรูราคาเป็นสิบล้านขนาดนั้น"

"ชอบอะไรล่ะเฮีย โคตรอึดอัดเลย หนูเหมือนหายใจไม่ออกแล้วก็เหม็นความรักคุณๆ เขาด้วย"

ทันทีที่ได้ยินคำว่า "หายใจไม่ออก" สีหน้าภากรณ์ที่ยิ้มแย้มก็เจื่อนลงทันที แม้ไม่แน่ใจนักว่ามายด์กับมิโกะเกี่ยวข้องอะไรกันไหม แต่ผู้หญิงที่หน้าเหมือนกันเป๊ะอย่างเธอมาพูดแบบนี้ก็อดคิดถึงสาเหตุการตายไม่ได้

"หายใจไม่ออกหรอ งั้นย้ายมานั่งรถเฮียก็ได้" ภากรณ์รีบอนุญาตทันที แวะซื้อของจนเสร็จก็ออกเดินทางต่อ


เวลา 13:00

มิ้นท์แชร์โลเกชั่นให้พี่ฉวีเรียบร้อย รอไม่นานรถMPVสุดหรูก็ขับเข้ามา ภากรณ์สะดุดตารถคันนี้ทันที เขาคุ้นเคยกับรถมานานทำไมจะจำไม่ได้ว่าเคยเห็นรถคันนี้ที่ไหน

"เฮ้ยวา! มึงจำได้ไหม" ภากรณ์กระทุ้งศอกก่อนถามวาเลนซ์ อีกฝ่ายเพียงพยักหน้าแล้วชวนกันเดินไปรับลูกค้า

นวลฉวีเดินลงมาจากรถ เข้ามาทักทายวาเลนซ์และมิ้นท์ก่อนจะกวาดสายตาไปมองที่เจ้าของอู่ "หายากไหมพี่ฉวี" มิ้นท์ถามแทรกเพราะเห็นท่าทีแปลกๆ ของสองหนุ่มก็เลยช่วยคุยแทนให้

"ไม่เลยจ๊ะ นี่แฟนพี่ชื่อศรัณย์" นวลฉวีถือโอกาสแนะนำผู้ชายที่เดินตามมาติดๆ เมื่อทำความรู้จักกันแล้วภากรณ์ก็เข้าไปดูรถ

รถตระกูลนี้ขึ้นชื่อว่าเป็นรถหรูระดับผู้บริหาร ราคาหลักสองสามล้านไม่ได้เห็นทั่วไปตามท้องถนนแน่ เขาจำมันได้ดีทั้งที่เรื่องเกิดมานานแล้วทำไมรถคันนี้ถึงเจาะจงกลับมาซ่อมที่อู่เขา

"เป็นไงบ้างครับ ต้องใช้เวลาซ่อมนานไหม" ศรัณย์ถาม

"ถ้าอยากได้ไว เบิกอะไหล่ศูนย์ใหม่หมดก็ใช้เวลาประมาณอาทิตย์หนึ่งครับ แต่ถ้าอยากซ่อมแบบถูกเงินหน่อยก็รอผมหาอะไหล่ให้ประมาณสามสัปดาห์" ภากรณ์ตอบ เขาเช็คดูรอบคันแล้ว เห็นมีแผลถลอกข้างหน้า มุมซ้ายยุบนิดหน่อยคล้ายขับชนอะไรมาไม่ได้ซ่อมยากเลย

"งั้นขอแบบเบิกอะไหล่ศูนย์เปลี่ยนก็ได้ เท่าไรเท่ากัน งบผมมีไม่อั้น"

"ถ้าขนาดนั้นทำไมไม่เอารถเข้าศูนย์ล่ะครับ จะมาซ่อมอู่เล็กๆ อย่างผมทำไม ดูแล้วประกันศูนย์น่าจะเหลือด้วยซ้ำ"

ภากรณ์ไม่ใช่คนมกพิธีแล้วก็ไม่เห็นแก่เงินด้วย เมื่อสงสัยก้ถามแต่คำตอบที่ได้กลับเป็นเพียงรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ดวงตาแข็งกร้าวดุดันก่อนเอ่ยเสียงตอบอย่างสุภาพว่า

"ก็ผมอยากได้ความช่วยเหลือจากคุณบ้างไง"

สงครามประสาทเฉลยชัดว่าต่างฝ่ายต่างรู้ทันกัน ในเมื่อครั้งหนึ่งศรัณย์เคยช่วยเขาไว้ ภากรณ์และวาเลนซ์ก็จำใจต้องช่วย

นวลฉวีและศรัณย์กลับไปแล้ว วาเลนซ์และภากรณ์คุยเครียดในห้องส่วนตัวร่วมชั่วโมง มิ้นท์มายด์รอฟังอย่างใจจดจ่อ โดยเฉพาะมิ้นท์ที่เป็นต้นเหตุเรื่องคราวนั้นยิ่งนั่งไม่ติด ถึงจะผู้ถูกกระทำแต่เหตุการณ์วันนั้นก็เลวร้ายจนฆ่าชีวิตคนๆ หนึ่งไป

"มีอะไรกันหรคะ ทำไมทุกคนหน้าเครียดจัง" มายด์ถาม

"เอ่อ... ไม่มีอะไรจ๊ะ" มิ้นท์ตอบด้วยท่าทางกล้าๆ กลัวๆ

"โกหกไม่เนียนเลยนะคะ เห็นหนูเป็นเด็กจะโกหกยังไงก็ได้หรอ" มายด์แกล้งแซวด้วยท่าทีทะเล้น สวนทางกับความรู้สึกในใจที่ร้อนรนไม่ต่างกัน

"คือมันก็มีนิดหน่อยแหล่ะ" มิ้นท์ตอบกลางๆ รู้ว่าไม่ควรรื้อฝืนอดีตมาเล่าให้เด็กอย่างมายด์ฟัง แต่ตอนนี้เธอก็เครียดจนอยากหาเพื่อนคุยด้วย

"มันเกี่ยวกับหนูไหมคะ เมื่อกี้พี่ผู้ชายคนนั้นจ้องหนูอย่างน่ากลัวเลย" ก่อนกลับมายด์บังเอิญเดินไปแถวนั้นทำให้ศรัณย์เห็นเธอ เขาจ้องหน้าเด็กสาวอย่างไม่เชื่อสายตาก่อนจะเปลี่ยนเป็นวูบหม่นหวาดกลัวแล้วเดินหนีไป มายด์ไม่รู้หรอกว่าเกี่ยวกันไหมแต่เพราะยังติดใจเรื่องนี้อยู่จึงเอ่ยปากถาม

"มายด์ว่าอะไรน่ะ คุณศรัณย์น่ะหรอ"

"ใช่ค่ะ เขามองเหมือนรู้จักหนูเลย"


ภากรณ์และวาเลนซ์ปรึกษากันเสร็จก็ออกมาทำงานต่อจนถึงเย็น มิ้นท์มายด์แยกตัวไปเตรียมอาหาร ปล่อยสองหนุ่มรื้อชิ้นส่วรรถออกมาเรียงเป็นชิ้นๆ จัดการดูว่าต้องสั่งอะไหล่อะไรบ้าง ของเหลวสีแดงกรำที่ซ่อนตัวอยู่ระหว่างรอยต่อชิ้นส่วนรถติดมือภากรณ์มา เขาเกลี่ยนิ้วดูอย่างพิจารณา สูดดมกลิ่นคาวจนมันใจแล้วว่านั่นคือเลือด สีหน้าก็เริ่มเปลี่ยนเป็นหนักใจ

" มาถึงข่าวที่หลายๆ คนให้ความสนใจกับเหตุการณ์ชนแล้วหนีอย่างอุกอาจหน้าสถานบันเทิงมีชื่อแห่งหนึ่ง หลังจากทางทีมงานสืบหาความจริงทำงานอย่างหนักมาสามวัน ตอนนี้สามารถจับกุมคนร้ายที่ขับรถชนคนแล้วหนีได้แล้ว เราไปดูภาพเหตุการณ์กันค่ะ"

เสียงข่าวช่วงเย็นดึงความสนใจของทั้งสอง ภากรณ์ชักสีหน้าเอือม ทั้งที่เขาพยายามเลี่ยงมาตลอดแต่ก็หนีไม่พ้นสักที

"เฮ้ยกรณ์! มึงว่าใช่ป่าววะ"

"จะเหลือหรอวะ ชัดขนาดนี้แล้ว"

ของเหลวสีแดงฉานยังซ่อนตัวอยู่ตามซอกหลืบ ยิ่งถอดชิ้นส่วนออกมาก็ยิ่งเห็น ภากรณ์เศร้าสลดคิดไม่ถึงว่าวันหนึ่งเขาต้องมาเป็นคนลบหลักฐานเสียเอง



=================================

ชอบไม่ชอบติชมมาได้น่าาา

ใครงงแนะนำให้อ่านพาร์ทแรกก่อน เรื่องDestiny Love Roadลิขิตรักสุดดวงใจ

เดินเรื่องเนิบๆ มาหลายตอนแล้วต่อไปนี้จะเข้มข้นแล้วน่าาา ทั้งเนื้อเรื่อง ทั้งNC จัดให้จุใจแน่

ฝากกดถูกใจ ค้อมเม้นท์ให้กำลังใจด้วยค่ะ ขอบคุณทุกการสนับสนุน





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น