Love Top Book

Chapter6


 Chapter6

เช้าวันใหม่วาเลนซ์เดินลงจากห้องมาเจอภากรณ์กำลังซ่อมรถอย่างขมักเขม้น เขาเดินดูรอบรถอย่างสงสัย พรางคิดว่าภากรณ์ได้นอนหรือยัง

"จะขยันไปไหนวะ นอนบ้างเหอะมึง" วาเลนซ์แซว

"ต้องให้กูพูดไหมว่าที่นอนไม่ได้เพราะใคร" ภากรณ์กระแทกเสียงตอบ เพราะยังหมันไส้ที่คู่ข้าวใหม่ปลามันอย่างวาเลนซ์เสียงดังอื้ออ้าทั้งคืน ไม่เกรงใจห้องคนโสดอย่างเขาเลย

"อย่ามา กูรู้นะมึงก็พาน้องเขาเข้าห้องอะ" วาเลนซ์เองก็รู้ใจเพื่อนจึงต่อปากต่อคำด้วย

"กูไม่ได้ทำอะไรเว้ย แค่นอนเฉยๆ" ภากรณ์รีบเถียงหน้าตาย

"กูล่ะนับถือมึงจริงๆ เฝ้าตั้งแต่เป็นผีจนเป็นคนอดทนได้ไงวะ" วาเลนซ์แผ่วเสียงอย่างเห็นใจ ภากรณ์แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินก้มๆ เงยๆ ซ่อมรถแล้วเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่น


"มึงจำผู้ชายคนนั้นได้ไหม"

"เออ กูจำได้ จะถามอยู่เหมือนกันว่ามึงคิดว่าไง"

"ก็ว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญวะ วันนั้นกูก็ดูออกว่ามันต้องการฆ่าให้ตายเหมือนกัน วันนี้ก็คงจะมาทวงบุญคุณแหล่ะ"

"แล้วเราเอาไงล่ะ"

"ยอมๆ ไปก่อนเหอะ ดูซิมันจะมาไม้ไหนอีก"

เมื่อภากรณ์บอกให้ลองดูไปก่อนวาเลนซ์ก็ไม่ขัด เขาทำใจไว้แล้วว่าเรื่องวุ่นวายพวกนี้ไม่จบง่ายๆ แน่ ทั้งที่ไม่ได้ขอร้องให้ช่วยแต่ศรัณย์ก็เข้ามาพัวพันแล้ว

เลือดเยอะขนาดนี้ ต้องชนยังไงวะ" ชิ้นส่วนรถถูกแกะมาเรียงราย วาเลนซ์ขบคิดเพราะรอยที่ยุบเพียงนิดเดียวส่วนทางกับปริมาณเลือดที่ซึมเต็มทุกส่วน

"น่าจะตั้งใจขับชนวะ ระยะประชันชิดด้วย" ภากรณ์สันนิษฐาน

"กูว่าเจอต่อแล้ววะ ใครมันจะกล้าขับรถชนคนอื่น ต้องขนาดไหนวะ ขนาดกูยังไม่กล้าทำใครแบบนี้" วาเลนซ์หน้าเสียนิดหนึ่ง ยักคิ้วส่งสัญญาณว่าเข้าใจที่เพื่อนพูด

"คนที่ทำอย่างนี้ได้ มีไม่กี่คนหรอก" ภากรณ์ที่อยู่วงการสีเทามานานเอ่ยปากสรุปให้ เขาค้นของทุกอย่างในรถจนได้เค้าว่าเป็นของเด็กหนุ่มลูกชายสส.คนดัง พวกชีสเรียน กระเป๋ารองเท้า เสื้อผ้าบางส่วนกองเต็มหลังรถ ความรกระดับนี้ดูออกเลยว่าเจ้าของคงไม่ชอบให้ใครยุ่มย่ามด้วย

กระดาษที่ดูเหมือนเป็นขยะถูกยัดตรงที่วางแก้วจนเต็มล้น ภากรณ์เคลียออกดูเห็นเป็นพวกใบเสร็จทางด่วนกับเมมเบอร์การ์ดอีกหลายใบ วาเลนซ์เองก็ช่วยเพื่อนดู ปะติดปะต่อเท่าไรก็ยังหาจุดเชื่อมโยงไม่ได้

"มึงจำข่าวชนแล้วหนีได้ไหมวะ" ภากรณ์ถามทั้งที่ใช้มือถือกดค้นหาข่าวที่สนใจ

"เออ จำได้ จับคนชนได้แล้วนี่หว่าไม่น่าจะเกี่ยวไหม" วาเลนซ์ตอบ

"แต่กูว่าไม่แน่นะ มึงดูนี่ซิที่เดียวกันเลย" นามบัตรไนท์คลับแห่งหนึ่งถูกยื่นมาตรงหน้าวาเลนซ์ พร้อมทั้งในรายละเอียดข่าวก็บอกไว้ว่าหน้าไนท์คลับแห่งนี้แหล่ะเกิดอุบัติเหตุขึ้น

ทั้งสองไม่ต้องพูดอะไรกันมากก็เข้าใจ ดวงตาภากรณ์ลุกวาวตื่นตัวในขณะที่วาเลนซ์หม่นลงเพราะเรื่องที่เขากลัวมาตลอดกำลังเกิดขึ้นแล้ว

"กูว่าชักกลิ่นไม่ดีล่ะ ตะหงิดใจแต่แรก ใครมันจะยอมช่วยฟรีๆ วะ" วาเลนซ์นึกถึงเหตุการณ์วันที่มิ้นท์ถูกลักพาตัว ขับรถไบ่บี้จนเบียดรถตกถนนเป็นเหตุให้ชานนท์ตาย เขายังติดใจรถปริศนาคันนั้นเสมอ ไม่คิดอยู่แล้วว่าจะมีคนช่วยเคลียโดยไม่หวังผล

"จะคิดงั้นก็ได้ แต่ถ้าคิดอีกอย่างนี่มันง่ายไปหน่อยไหมวะ ทุกอย่างชัดเจนเหมือนอยากให้เราเห็นหลักฐานป่ะ" ภากรณ์พูดสิ่งที่คาใจออกมา

"คิดมากไปเปล่าวะ"

"มึงลองคิดดูนะ ตั้งแต่วันที่มึงถามกูจนถึงวันนี้ก็สัปดาห์หนึ่งแล้ว ทำไมรถคันนี้ยังอยู่ในสภาพเดิม ทั้งที่เขามีเวลาตั้งเยอะจะล้างจะเช็ด ขัดสี ดูดฝุ่นยังไงก็ได้ ทำไมทุกอย่างถึงอยู่ในสภาพเกิดเหตุ มึงไม่สงสัยหรอวะ"

สิ่งที่ภากรณ์สงสัยพูดเป็นฉากๆ เห็นภาพชัดเจน ก็จริงอย่างที่ว่าถ้าเราขับรถชนคนแล้วหนี สิ่งแรกที่ต้องทำก็คงล้างคราบเลือดพวกนี้แหล่ะแต่ทำไมเขาไม่ทำ

"จะบอกว่า เขาอยากให้เราเห็นหลักฐานพวกนี้หรอ" วาเลนซ์ใช้น้ำเสียงนิ่งเรียบจ้องตาเพื่อนซี้เอ่ยถามว่าคิดเหมือนกันไหม

"ไม่รู้วะ คงต้องไปดูเองแหล่ะ" บัตรเมมเบอร์ใบหนึ่งถูกชูขึ้น รายละเอียดในนั้นแจ้งว่าจะมีงานไพรเวทปาร์ตี้คืนนี้ วาเลนซ์รับมาอ่านแล้วก็พยักหน้ารับ เขาคิดจะไปตามหาความจริงด้วยกัน ภากรณ์พยักหน้ารับแต่แล้วก็เปลี่ยนใจ

"กูว่ากูไปคนเดียวดีกว่าวะ มึงมันคนดังโผล่หน้าไปคนก็จำได้" ภากรณ์พูด

"ไม่มั้งมึงอะคิดมาก ไปด้วยกันมีอะไรได้ช่วยกันไง" วาเลนซ์เถียง

"อย่าเลย กูไปเองคนเดียวดีกว่า"

เถียงกันไปเถียงกันมาจนมิ้นท์มายด์ลงมาร่วมวงด้วย ยิ่งรู้ว่าเป็นเรื่องเสี่ยงสาวๆ ยิ่งตื่นเต้นไม่วางใจ ทุกคนอยากไปไม่ต่างกัน กลายเป็นว่าเสียงเดียวสิทธิเดียวอย่างภากรณ์ก็สู้สามเสี่ยงไม่ได้

สรุปได้ความว่าคืนนี้ทั้งสี่คนจะไปด้วยกันแต่แบ่งเป็นสองทีม ภากรณ์มิ้นท์เข้าไปในงาน ส่วนวาเลนซ์มายด์จนอยู่รอฟังเหตุการณ์อยู่ใกล้ๆ


Private Party

ปักหมุดชื่อร้านตามนามบัตร ขับตามร่วมสองชั่วโมงก็มาถึงตู้คอนเทรนเนอร์ใต้ทางด่วน รถแต่งจอดเต็มพื้นที่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคืนนี้ต้องมีการแข่งขันแน่ ตอนแรกรถภากรณ์กับรถวาเลนซ์ยังขับตีคู่ดูลาดเลาด้วยกัน รอจนงานเริ่มค่อยแยกกันเข้างาน

"ฝากดูมายด์ด้วยนะเว้ย มึงจอดห่างๆ เลย มีอะไรเดี๋ยวกูโทรหาเอง" ภากรณ์ส่งสายตามองมายด์ก่อนฝากฝังเพื่อนสนิทให้ดูแลเธอด้วย วาเลนซ์ชักสีหน้าเอื้อมคิดไม่ถึงเหมือนกันว่าไอ้เพื่อนหน้านิ่งเบื่อโลกอย่างงั้นจะห่วงใครได้

"เออ! มึงก็ดูแลมิ้นท์ให้กูด้วย ห้ามดื่มเด็ดขาดนะ เข้าใจไหม!" วาเลนซ์สวนกลับ ภากรณ์ส่ายหน้าน้อยๆ หมั่นไส้ความขี้หวงของเพื่อน

กว่าจะแยกกันได้ก็ปาไปจนดึก เสียงประกาศตามสายเร่งให้รถที่ลงแข่งเข้าประจำที่รอเวลา ภากรณ์มิ้นท์จอดเทียบข้างทาง มีเด็กเสิร์ฟเดินส่งน้ำส่งขนมโดยไม่ต้องลงเดินให้ลำบาก แต่แบบนี้มันไม่ดีกับงานน่ะซิเพราะเขาจะหาตัวเด่นๆ ของงานนี้ได้ยังไงถ้าไม่ลงจากรถมาเจอกัน

"ให้มิ้นท์ช่วยไหม" มิ้นท์ถามเสียงใส ภากรณ์เหลือบมองเธอนิดหนึ่งหรี่ตาคิดว่าเธอจะทำอะไรได้

"คุณจะทำอะไร"

"อยู่อย่างงี้ไม่ได้เรื่องหรอก ไหนๆ ก็มาแล้วมันต้องอะไรสักหน่อย"

"ไม่เอาอะ เดี๋ยวไอ้วาด่าผม"

"กลัวหรอ งั้นชวนมายด์ด้วยดีกว่า จะได้หายกัน"

ไม่เพียงพูดเปล่า มิ้นท์กดโทรศัพท์หามายด์ทันที กะจะนัดแนะก่อนเพราะกลัววาเลนซ์เป็นห่วงเหมือนกัน รอสายอยู่พักใหญ่ก็ไม่รับ สุดท้ายเธอก็ต้องโทรหาวาเลนซ์ แค่เพียงกริ๊งเดียวเสียงหล่อๆ ปลายสายก็รีบรับอย่างร้อนรน


Mind's Part

ลิ้นร้อนที่ทั้งสากทั้งนุ่มในตอนสัมผัสส่วนบอบปากทำให้ร่างสั่นระริก หากไม่คิดจะผลักไส้เลยสักน้อยมีแต่จะเร่งรีบอยากให้เขาจัดการขั้นเด็ดขาด สมองที่ควรขาวโพลมมีภาพใครคนหนึ่งโดดเด่นในนั้น เขาเพียบพร้อมไปด้วยรูปสมบัติและทรัพย์สมบัตินั่งเชิดหน้านิ่ง พิงตัวเต็มหลัง อ้าขาสบายๆ รับการปรนเปรอ เมื่อร่างกระตุกปล่อยน้ำกามออกแล้ว ดวงตารังเกียจก็จ้องแผดเผา ก่อนจะไล่ตะเพิดอย่างไม่แยแส ความรู้สึกเครียดแค้นทำเอาอึดอัด หัวใจเจ็บร้าวเแกเช่นเดียวกับริมฝีปากที่เจ็บชา ใช่! ฉันเองก็เคยทำแบบนั่น แต่ต่างกันตรงนี้ความรู้สึกนี่แหล่ะ อึดอัดล่องลอย ขมขื่นหอมหวาน

แสงสว่างเข้าทักทายรับเช้าวันใหม่ วันนี้บางอย่างในใจฉันต่างออกไป ก็รู้แหล่ะว่ามันไม่ปกติตั้งแต่แรก ฉันพยายามไม่เปิดรับ ไม่คิดหาความจริง จนวันนี้เองที่ความโกรธแค้นเก่าๆ กล่อมจนต้องยอมรับว่าครั้งหนึ่งผู้หญิงคนนั้นคือฉันเอง และผู้ชายที่เอาเปรียบฉันมาตลอดก็คือเขา คุณวาเลนซ์

ดึกดื่นที่รอบตัวมีแต่รถแข่งหลายสีสัน เราเก็บตัวในรถเงียบๆ คอยระวังอันตรายรอบด้านให้คุณภากรณ์กับมิ้นท์ ฉันถือโอกาสตีสนิทคุณวาเลนซ์ ผู้ชายรูปหล่อ ร่างสูงโปร่งที่เคยมองฉันเหมือนขยะชิ้นหนึ่ง แต่วันนี้การกลับมาเจอกันครั้งใหม่ในฐานะเด็กในร้านทำให้เขายอมคุยเล่นด้วย

"เฮียวากับคุณมิ้นท์เป็นแฟนกันนานยังคะ"

"ก็ไม่นานนะ ถามทำไม"

"ไม่มีอะไรหรอกค่ะ หนูแค่เสียดายความหล่อของเฮียแล้วก็อิจฉาคุณมิ้นท์ด้วย"

"โอ๊ย! ไม่ต้องชมเลย เฮียกรณ์เราก็หล่อเหมือนกันแหล่ะ"

"โห่! ถ้าอย่างเฮียกรณ์หล่อ ผู้ชายบนโลกนี้ก็เดบิ้วเป็นไอดอลกันหมดแล้ว"

"ขนาดนั้นเลย แล้วไอ้ไอดอลเนี่ยมันต้องหล่อขนาดไหนล่ะ"

"ก็หล่ออย่างเฮียวาไงคะ ทั้งหล่อทั้งใจดี สาวๆ ต้องกรี๊ดมากแน่"

"หึ! ขอบใจที่ชมนะ เฮียก็ปฏิเสธไม่ได้ด้วยซิหลักฐานมันคาตา"

ร่ายจริตหญิงเยินยอจนอีกฝ่ายตายใจ ฉันเริ่มแตะมือลงแขนคุณวาเลนซ์บ้าง ลูบผ่านไปแผงอกบ้าง เจ้าตัวก็ยังคุยสนุกปากไม่ได้ว่าอะไร เสียงอึกทึกรอบด้านทำให้เวลาคุยต้องกระซิบกันใกล้ ฉันเข้าหาเขาทุกทางจนได้จังหวะเหมาะคว้าแขนเขามาเกาะถูไถเต้าอวบลงต้นแขนหน้าตาเฉย แล้วกระซิบคำสารภาพรักแนบหูเขา

"อนุญาตให้หนูชอบเฮียได้ไหมคะ" ถูกจู่โจมขนาดนี้เป็นใครก็ต้องอึ้งแหล่ะ จังหวะที่เขาสตั้นค้างฉันถือโอกาสยื่นหน้าไปจะจูบ คุณวาเลนซ์ชักสายตาดุ แม้ไม่ได้เคลื่อนหน้าหนีแต่ก็กัดฟันถามว่าจะทำอะไร

"จะทำอะไร"

"หนูเห็นคนมองเฮียหลายครั้งแล้วค่ะ มาแกล้งๆ จูบกันเถอะ หนูจะบังให้"

ฉันตอบอย่างหน้าซื่อตาใส ดวงตาแข็งกร้าวในตอนแรกมองซ้ายทีขวาทีคงเห็นแหล่ะว่ามีคนมองอยู่จริงจึงยอมเล่นบทบาทคู่รักด้วย ได้ทีเบียดตัวเองมากอดทับเขาไว้ ทิ้งตัวลงซบ มือลูบไล้จากแผงอกไปต้นแขนแกร่ง เชิดหน้าคิดจะจูบเขาอีกครั้แต่แรงสั่นจากโทรศัพท์ก็ดังขัดซะก่อน

"ฮะโหล่มิ้นท์ ห้ะ! เออๆ เดี๋ยวผมไป"



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น